วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2561

จับประเด็น: สั่งห้ามใช้ 3 สารเคมีอันตราย

นายมงคล พฤกษ์วัฒนา อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการวัตถุอันตราย ที่มีนายสมบูรณ์ ยินดียั่งยืน รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม มีมติเห็นชอบไม่ให้ใช้สารทั้ง 3 ชนิดโดยสิ้นเชิงในพื้นที่ปลูกพืชผักสวนครัว สมุน ไพร พื้นที่ต้นน้ำ และพื้นที่สาธารณะ ประกอบด้วย พาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต พร้อมกำหนดพื้นที่ให้ใช้สารพาราควอต และไกลโฟเซตได้เฉพาะพืชเศรษฐกิจ และใช้สารคลอร์ไพริฟอสในการปลูกไม้ผลเพื่อการกำจัดหนอนเจาะลำต้น ไม้ดอกและพืชไร่เท่านั้น โดยกรมวิชาการเกษตรจะใช้เวลา 3 เดือนในการจัดทำรายละเอียดรองรับ

อ่านต่อได้ที่ : https://www.ryt9.com/s/tpd/2879766

สารเคมีอันตรายในไทย : ความเคลื่อนไหวหลังคดียาฆ่าหญ้าสหรัฐฯ

Image copyrigh
คำบรรยายภาพเกษตรกรไทยใช้พาราควอตกำจัดวัชพืชในไร่อ้อย มันสำปะหลัง ยางพารา
ความพยายามในการผลักดันการห้ามใช้สารเคมีอันตราย 3 ชนิดในไทย ยืดเยื้อมากว่าหนึ่งปี ท่ามกลางข้อถกเถียงของฝ่ายที่เป็นห่วงเรื่อง สุขภาพและสิ่งแวดล้อม กับฝ่ายธุรกิจเคมีและภาคเกษตรบางส่วนที่เห็นว่า การใช้สารเคมียังมีความจำเป็นเพราะสามารถลดต้นทุนการผลิตได้ ในเวลาเดียวกันนี้ 50 ประเทศทั่วโลกได้ยกเลิกและจำกัดการใช้ไปแล้ว
สารเคมีทั้งสามชนิดได้แก่ พาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต
คณะกรรมการแก้ไขปัญหาการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งแต่งตั้งโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ซึ่งประชุมครั้งล่าสุดเมื่อ 22 สิงหาคม มีข้อสรุปให้ตั้งคณะอนุกรรมการฯ ขึ้นมารวบรวมข้อมูลวัตถุอันตรายทั้ง 3 ชนิดใหม่ หลังจากคณะกรรมการ ปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุขและสังคม และภาคประชาชน เสนอให้ทบทวนการตัดสินใจของคณะกรรมการวัถตุอันตราย ที่มีมติไม่ห้ามใช้
แหล่งที่มา​:https://www.bbc.com

ผลสำรวจสารเคมีปนเปื้อนผัก-ผลไม้พบ "พริกแดง-ส้มสายน้ำผึ้ง-ฝรั่ง" สารพิษตกค้างมากสุด

เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช เปิดเผยผลสำรวจสารเคมีปนเปื้อนจากการสุ่มเก็บตัวอย่างผักและผลไม้ที่ประชาชนนิยมบริโภค พบว่า พริกแดง มีสารพิษตกค้างมากที่สุดร้อยละ 100 ส่วนผลไม้ พบว่า ส้มสายน้ำผึ้งและฝรั่ง มีสารพิษตกค้างมากที่สุดเท่ากันคือ ร้อยละ 100 ส่วนกะหล่ำปลีและแตงโมตรวจไม่พบว่ามีสารเคมีตกค้าง
 ขณะที่ภาพรวมผักและผลไม้มีสารเคมีตกค้างเกินมาตรฐานร้อยละ 46.4 ส่วนใหญ่พบในผักผลไม้ที่ได้รับตรา Q (คิว) จากสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) สูงถึงร้อยละ 57.1 รวมทั้งผักผลไม้อินทรีย์ที่ได้รับรอง ออร์แกนิก ไทยแลนด์ พบสารเคมีตกค้างสูงเกินมาตรฐานร้อยละ 25
สารเคมีที่ถูกพบส่วนหนึ่งคือ สารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่ถูกห้ามใช้แล้ว ไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนรวม 11 ชนิด เช่น คาร์โบฟูราน เมโทมิล หรือสารดีท ที่เป็นส่วนประกอบของยากันยุง สารพิษเหล่านี้เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะสร้างอันตราย เช่น คาร์โบฟูราน เป็นสารก่อมะเร็ง
แหล่งที่มา​:https://news.thaipbs.or.th

สารเคมีรั่วโรงงานฟอกยีนส์ หาม 20 คนงานส่งรพ.

สารเคมีรั่วโรงงานฟอกยีนส์ หาม 20 คนงานส่งรพ.
    เมื่อเวลา ประมาณ 09.50 น. รับแจ้งเกิดเหตุ สารเคมีรั่วไหลจาก โรงงานฟอกยีนส์ บริเวณถนนสาย 345 บางคูวัด อ.เมืองปทุมธานี ที่เกิดเหตุเป็นโรงงานฟอกยีนส์ ของ บริษัท วี.อาร์.วอชชิ่ง จำกัด เจ้าหน้าที่ต้องเร่งนำคนงาน ออกมาจากภายในโรงงาน จำนวน 20 กว่าคน ซึ่งส่วนใหญ่มีอาการคลื่นไส้ เวียนหัว และอาเจียน นำส่งโรงพยาบาลปทุมธานี จากการสอบถามเจ้าหน้าที่สายตรวจ สภ.เมืองปทุมธานี เปิดเผยว่า ได้รับแจ้ง เกิดเหตุดังกล่าว จึงรายงานผู้บังคับบัญชาทราบ แล้วเดินทางมาตรวจสอบที่เกิดเหตุ
เบื้องต้นทราบว่า เกิดจากความผิดพลาดของการต่อท่อภายในโรงงาน จึงทำให้เกิดสารเคมีรั่วไหลออกมา แต่ยังไม่สามารถระบุถึงสาเหตุ และเป็นสารเคมีชนิดใดได้ เนื่องจาก ยังไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบภายในโรงงานได้ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการลำเลียงคนงาน ออกมาจากโรงาน เพื่อนำส่งโรงพยาบาล ส่วนผู้เสียชีวิตนั้น ยังไม่ได้รับรายงานแต่อย่างใด
แหล่งที่มา​:https://www.sanook.com
สารเคมีไม่ทราบชนิด รั่วไหล บริเวณ ซอยกรุงเทพกรีฑา 35 เจ้าหน้าเร่งตรวจสอบ

เมื่อสักครู่ที่ผ่านมา ได้รับแจ้งเหตุพบสารเคมีถูกทิ้งลงแหล่งน้ำ บริเวณหน้า บริษัท คอมฟอร์ม จำกัด ตรงข้ามซอยกรุงเทพกรีฑา 35 ถนนกรุงเทพกรีฑา แขวงสะพานสูง เขตสะพานสูง เบื้องต้น เจ้าหน้าที่สำนักอนามัย เจ้าหน้าที่เขตสะพานสูง ดับเพลิงหัวหมาก และห้วยขวางรุดที่เกิดเหตุ พร้อมนำเครื่องตรวจวัดสารเคมีเพื่อตรวจสอบพบเป็นสารเคมีรั่วไหลออกมากจากบริษัท คอมฟอร์ม จำกัด ลงไปที่บริเวณบ่อระบายน้ำด้านหน้าบริษัทจำนวน 3 บ่อ ทำให้น้ำในบ่อที่ 1 และบ่อที่ 2 ลักษณะของน้ำเป็นสีชมพู และบ่อที่ 3 ลักษณะเป็นสีดำมีคราบน้ำมันปะปนโดยขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างตรวจสอบชนิดของสารเคมีดังกล่าว และป้องกันสารเคมีรั่วไหลลงสู่คลองสาธารณะ ทั้งนี้ ได้มีการกั้นบริเวณโดยรอบเพื่อป้องกันเหตุและห้ามประชาชนเข้าใกล้ในพื้นที่
แหล่งที่มา​:https://www.sanook.com
สารเคมีรั่วไหลที่ชลบุรี คนงาน 5 คนสูดควันเป็นลม ชี้ต้นเหตุจากหม้อต้ม

เกิดควันสีเหลืองพุ่งขึ้นจากปล่องควันในโรงงานชุบโลหะที่ จ.ชลบุรี มีคนงาน 5 คนบาดเจ็บจากการสูดควันเข้าไป จนท.ใช้เวลา 1 ชั่วโมงจึงสลายควันได้ คาดกรดไนตริกหยดใส่หม้อต้มชุบโลหะจนเกิดความร้อนสูง... 
    เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม พ.ต.ท.วศิน กล้าวิกรณ์ สว.(สอบสวน) ได้รับแจ้งมีควันสีเหลืองพุ่งขึ้นจากปล่องควันภายใน บริษัท ไทยเมกิ (2012) จำกัด (THAI MEKKI (2012) CO.,LTD.) เลขที่ 700 /686 หมู่ 7 ต.ดอนหัวฬ่อ อ.เมือง จ.ชลบุรี เป็นบริษัทชุบโลหะและโครเมียม จึงรุดไปตรวจสอบพร้อม พ.ต.อ.ประเสริฐ โตศักดิ์สิทธิ์ ผกก. สภ.ดอนหัวฬ่อ น.ส.นวรัตน์ ไตรรักษ์ นายกเทศมนตรีเทศบาลดอนหัวฬ่อ เจ้าหน้าที่กรมควบคุมมลพิษ จ.ชลบุรี และกู้ภัยไตรคุณธรรม พบบริษัทดังกล่าวมีเนื้อที่ประมาณ 4 ไร่เศษ ที่เกิดเหตุอยู่ช่วงด้านหลังเป็นเครื่องอุปกรณ์การต้มสารชุบโลหะ มีปล่องระบายควันและมีควันสีเหลืองพวยพุ่งขึ้นเป็นจำนวนมาก ควันดังกล่าวมีกลิ่นเหม็นฉุน ซึ่งมีพนักงาน 5 คน ได้สูดดมควันเข้าไปเกิดอาการเป็นลมและอาเจียน กู้ภัยฯ ปฐมพยาบาลเบื้องต้น แล้วให้กลับบ้านได้ ที่เกิดเหตุมีรถดับเพลิงจากเทศบาลดอนหัวฬ่อ และรถดับเพลิงจากนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร รวม 4 คัน เข้าร่วม เจ้าหน้าที่ดับเพลิงฉีดน้ำไล่ควันและกลิ่นสาารเคมี ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง กลิ่นและควันจึงระเหยไป

แหล่งที่มา​:https://www.thairath.co.th








ยาฆ่าแมลงตกค้างในลองกองสด

 ลองกอง ผลไม้ที่ขึ้นชื่อในเรื่องรสหวานแสนอร่อย เนื้อมีกลิ่นหอม นิยมทานแบบสดๆ มีแหล่งปลูกสำคัญอยู่ทางภาคใต้และภาคตะวันออกของไทย แต่แท้ที่จริงแล้ว ลองกองมีถิ่นกำเนิดมาจากแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในหมู่เกาะชวา เกาะมลายูและทางตอน
ใต้ของไทยในจังหวัดนราธิวาส 
    ในเมืองไทยของเรามีสภาพภูมิประเทศและอากาศเหมาะสม ลองกองจึงมีรสชาติดีกว่าที่อื่น ปกติหากปลูกแค่พอเก็บทานกันภายในบ้าน ที่เหลือก็ขายตามตลาดในหมู่บ้าน ชุมชน ก็ไม่มีปัญหาอะไร ทว่าหากมีการปลูกจำนวนมากเพื่อขายในเชิงพาณิชย์ หรือขายครั้งละปริมาณมากๆ เกษตรกร หรือผู้ปลูกบางราย อาจมีการป้องกันผลผลิตไม่ให้ถูกทำลายโดยโรค​ และแมลงต่างๆโดยการใช้สารเคมีหรือสารฆ่าแมลงและถ้าใช้ในปริมาณ​มากๆก็เกิดผลเสียกับผู้บริโภคโดยจะส่วผลต่อสุขภาพแล้วเมื่อเวลาผ่านไปนานขึ้นก็จะยิ่งสะสมและเกิดโรคร้ายในที่สุด

อ่านข่าวต่อได้ที่:https://www.thairath.co.th
คอลัมน์: วิทยาศาสตร์สำหรับ
เยาวชน: อาหารจากสาหร่ายขนาดเล็ก

สาหร่ายขนาดเล็กหรือจุลสาหร่าย (microalgae) เป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่มีลักษณะบางอย่างคล้ายพืช เช่น มีการสังเคราะห์แสง ซึ่งเปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์ไปเป็น พลังงานเคมีในรูปอาหารได้ สาหร่ายขนาดเล็กมีหลายสีซึ่งเกิดจากสารอาหารต่างๆ เช่น คาร์โบไฮเดรต และรงควัตถุ (pigment) ซึ่งสารเหล่านี้เป็นตัวปกป้องสาหร่ายให้มีการดำรงชีวิตมายาวนานหลายพันล้านปี ถึงแม้ว่าสาหร่ายจะมีขนาดเล็กแต่สามารถสร้างสารอาหารที่มีประโยชน์เพื่อการดำรงชีวิตได้ ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาคุณค่าอาหารจากสาหร่ายขนาดเล็กจำนวนมากและได้รายงานว่าสาหร่ายขนาดเล็กประกอบไปด้วยโปรตีน คาร์โบไฮเดรต ใยอาหาร เอนไซม์ วิตามิน และ แร่ธาตุต่างๆ เช่น วิตามินเอ ซี บี1 บี2 ไนอะซีน ไอโอดีน โพแทสเซียม เหล็ก แมงกานีส และแคลเซียม เป็นต้น ในประเทศจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีมักนำสาหร่ายมาเป็นแหล่งอาหารหลัก สาหร่ายที่นำมาใช้ประโยชน์ทางด้านอาหาร เช่น สาหร่ายคลอเรลลา (Chlorella) ฮีมาโตคอกคัส (Hematococcus) หรือแม้แต่สาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน เช่น สาหร่ายสไปรูลินา (Spirulina)
     สาหร่าย​คลอเรลลา เป็นสาหร่ายเซลล์เดียว (single cell) มีลักษณะรูปทรงกลมหรือรี มีสีเขียว สาหร่ายชนิดนี้ มีปริมาณโปรตีนสูงประมาณ 40-60 เปอร์เซ็นต์ มีการ เพาะเลี้ยงเชิงพาณิชย์ในประเทศไต้หวันและญี่ปุ่น นิยมนำมา บริโภคในรูปแบบของอาหารเสริม หรือผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพ นอกจากนี้ชาวญี่ปุ่นยังใช้เติมลงไปในน้ำผลไม้ นม ชา ซุป บะหมี่ คุกกี้ เค้ก และไอศกรีม เป็นต้น เพื่อเพิ่มคุณค่าทางสารอาหารของผลิตภัณฑ์ อย่างไรก็ตาม สาหร่ายมีสารประกอบไนโตรเจนที่ไม่ใช่โปรตีนในปริมาณสูง คือกรดนิวคลีอิก หากสารนี้มีปริมาณสูงในเลือด อาจทำให้มีโอกาสเสี่ยงสูงต่อการเป็นโรคเกาต์ ปกติแล้วร่างกายจะขับกรดยูริกออกทางไตแล้วปนออกมาในปัสสาวะ แต่กรดยูริกละลายน้ำ ได้น้อยจึงขับออกจากร่างกายได้ช้า ดังนั้น จึงควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว เพื่อให้กรดยูริกขับออกทางปัสสาวะได้ง่าย
      สาหร่ายฮีมาโตคอกคัส เป็นสาหร่ายเซลล์เดียวที่มี ไขมันต่ำ มีโปรตีน เส้นใยอาหาร กรดไขมันไม่อิ่มตัว รวมทั้ง วิตามิน เกลือแร่อยู่หลายชนิด แต่มีลักษณะเด่นที่สามารถผลิตสารสีแดง ที่เรียกว่าแอสตาแซนธิน (Astaxanthin) ขึ้นมาเพื่อช่วยปกป้องเซลล์และมีชีวิตรอดอยู่ได้แม้จะอยู่ในสภาวะขาดน้ำและอาหาร จากการรายงานวิชาการทางวิทยาศาสตร์พบว่าคุณสมบัติของแอสตาแซนธินนั้นสามารถยับยั้งการเกิดออกซิเดชั่นของออกซิเจนโมเลกุลเดี่ยวหรือมีค่าการต้านอนุมูลอิสระสูง โดยมีประสิทธิภาพสูงกว่าโคเอนไซม์ คิวเทน 800 เท่า สูงกว่าคาทีซิน (เป็นสารในกลุ่มสารประกอบ ฟีนอล (phenolic compounds) มีฤทธิ์เป็นสารต้าน ออกซิเดชั่น (anti-antioxidant) ที่จับกับอนุมูลอิสระ และเป็นสารอินทรีย์ซึ่งสามารถจับกับแร่ธาตุประจุบวกได้
     สาหร่ายสไปรูลินา เป็นสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน สาหร่ายชนิดนี้เป็นรู้จักกันดีเนื่องจากอุดมไปด้วยโปรตีนและเป็นแหล่งของวิตามินบี เหล็ก แร่ธาตุต่างๆ สาหร่ายชนิดนี้ใช้เป็นอาหารเสริมสำหรับมนุษย์และสัตว์ในเชิงพาณิชย์อย่างแพร่หลาย จากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รายงานว่าสาหร่ายสไปรูลินาอาจช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและส่งผลดีต่อระดับไขมันในเลือด รวมถึงระดับคอเลสเตอรอลและ ไขมันชนิดที่ไม่ดีชนิดแอลดีแอล (LDL) ลดต่ำลง และระดับไขมันชนิดเอชดีแอล(HDL) ซึ่งเป็นไขมันชนิดดีนั้นเพิ่มสูงขึ้นอีกด้วย
       การรับประทานสาหร่ายให้ปลอดภัย ควรคำนึงถึงปริมาณที่เหมาะสมต่อการบริโภคซึ่งดูได้จากฉลาก หากมีโรคประจำตัวควรปรึกษาและทำตามคำแนะนำของแพทย์หรือนักโภชนาการ นอกจากนี้ควรคำนึงถึงแหล่งผลิตและกรรมวิธีการต้องผ่านการรับรองการผลิตตามมาตรฐาน ผลิตภัณฑ์ที่ได้ต้องปราศจากสิ่งเจอปน เช่น สารพิษโลหะหนัก หรือแบคทีเรีย มิฉะนั้นอาจส่งผลเสียต่อการทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย ส่งผลให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย หัวใจเต้นเร็ว ภาวะกระหายน้ำ เกิดภาวะช็อก หรืออาจเสียชีวิตได้

อ่านต่อได้ที่ : https://www.ryt9.com/s/nnd/2887162
บมจ.ไทยเซ็นทรัลเคมีฯ จับมือการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เขื่อนศรีนครินทร์ จัดโครงการ TCCC ร่วมใจสร้างฝายชะลอน้ำ มุ่งรักษาแหล่งน้ำให้เกษตรกรไทย

สมรัก ลิขิตเจริญพันธ์ เจ้าหน้าที่บริหารและผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ และ นายณัฐกร จิตราภัณฑ์ ผู้จัดการทั่วไป สายงานกิจการทั่วไป พร้อมด้วยพนักงานจากบริษัทไทยเซ็นทรัลเคมี จัดกิจกรรมโครงการ TCCC ร่วมใจสร้างฝายชะลอน้ำ ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อรักษาแหล่งน้ำให้แก่เกษตรกรไทย โดยมีวิทยากรและเจ้าหน้าที่จากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เขื่อนศรีนครินทร์ จังหวัดกาญจนบุรี มามอบความรู้และคำแนะนำในการสร้างฝายชะลอน้ำที่ถูกต้อง


แหล่งที่มา​ : https://www.ryt9.com/s/tpd/2887154
สารเคมีรั่วไหลจากหลุมฝังกลบขยะในรัสเซีย

เจ้าหน้าที่ตำรวจในเขตโวโลโกลามสก์ (Volokolamsk) ชานกรุงมอสโก ของรัสเซีย เปิดเผยว่า เกิดการรั่วไหลของสารเคมีจากหลุมฝังกลบขยะในพื้นที่ ทำให้มีรายงานเด็กป่วยด้วยอาการคลื่นไส้ ปวดศีรษะ และเป็นลม อย่างน้อย 57 คน โดยต้องนำตัวส่งโรงพยาบาล เพื่อรับการรักษาหลังสูดดมสารพิษ


เบื้องต้น เจ้าหน้าที่สั่งอพยพประชาชนไปยังที่ปลอดภัยแล้ว พร้อมจะเร่งตรวจหาสาเหตุ รวมถึงประเมินสภาพความปลอดภัย ขณะที่ประชาชนในพื้นที่ร้องเรียนให้มีการปิดหลุมฝังกลบขยะดังกล่าวทันที เพื่อป้องกันอันตราย

แหล่งที่มา:http://news.ch7.com

4 อาชีพเสี่ยง "โรคผิวหนังจากสารเคมี"

4 อาชีพเสี่ยง "โรคผิวหนังจากสารเคมี"
โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี กรมการแพทย์ เผยผู้ที่ทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม และอาชีพเกษตรกรเสี่ยงโรคผิวหนังที่เกิดจากสารเคมี แนะสวมอุปกรณ์ป้องกัน หลีกเลี่ยงการสัมผัส หากมีอาการระคายเคือง หรือผดผื่นให้รีบไปพบแพทย์
โรคผิวหนัง จากสารเคมี
นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า โรคผิวหนังที่เกิดจากสารเคมี เป็นโรคที่พบบ่อยมากในกลุ่มผู้ที่ทำงานก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรม และอาชีพเกษตรกรรม เนื่องจากปัจจุบันมีการใช้วัสดุและสารเคมีที่ทำให้เกิดโรคผิวหนังอย่างแพร่หลาย มีการใช้งานที่ไม่เหมาะสม หรือหากสัมผัสถูกผิวหนังโดยตรงโดยไม่มีเครื่องป้องกัน จะทำให้เกิดการระคายเคืองเกิดผื่นคันภูมิแพ้ที่ผิวหนัง และอาจเป็นโรคผิวหนังได้
 อาชีพเสี่ยงโรคผิวหนังจากสารเคมี
อาชีพที่มีความเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคผิวหนังจากสารเคมีได้แก่
  1. คนงานก่อสร้างที่ผสมปูนซีเมนต์
  2. คนงานในโรงงานที่เกี่ยวข้องกับโลหะ เครื่องหนัง ยางสีย้อมผ้า กาวพลาสติก เส้นใยแก้ว สีพ่น รวมทั้งน้ำมันเบนซิน และน้ำมันเครื่อง
  3. คนที่ต้องทำงานสัมผัสกับอุปกรณ์ที่ทำจากโลหะชุบนิกเกิล งานอุตสาหกรรมทำเครื่องหนัง ดอกไม้พลาสติก
  4. เกษตรกรที่ต้องใช้ปุ๋ยสารกำจัดแมลงศัตรูพืช
แหล่งที่มา​:https://www.sanook.com

จับประเด็น: สั่งห้ามใช้ 3 สารเคมีอันตราย นายมงคล พฤกษ์วัฒนา อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการวัตถุอันตราย ที่มีนายสมบ...